|
โอริงามิ จากธรรมเนียมซามูไรสู่ศิลปะการพับกระดาษศิลปะการพับกระดาษ โอริงามิ (ภาษาญี่ปุ่น: 折り紙 ) คำว่า โอริ แปลว่า "การพับ" และ งามิ แปลว่า "กระดาษ" คือศิลปะ และการละเล่นดั้งเดิมของญี่ปุ่น เป็นการพับกระดาษเพียงแผ่นเดียวขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ พับทบกันหลายๆ ครั้งจนเป็นรูปสิ่งต่างๆ โดยไม่มีการตัด เพื่อสร้างสรรค์รูปทรง หรือวัตถุต่างๆ เช่น สัตว์ พืช หรือสิ่งของ ขึ้นมาจากการพับกระดาษ โอริงามิ ยังหมายถึง กระดาษลายหลากสีสันทรงสี่เหลี่ยมจตุรัตที่ใช้ในการพับ โอริงามิ ด้วย นอกจากนี้ โอริงามิ ยังรวมถึงวัตถุจากกระดาษพับที่ใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนาอีกเช่นกัน เราจะค่อยๆ อธิบายทีละคำเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ก่อนที่จะไปถึงการพับกระดาษเราขอแนะนำให้รู้จักกับกระดาษที่ใช้ในการพับ โอริงามิ กันก่อนนั้นคือ... ชิโยกามิ หรือ โอริงามิ ชิโยกามิ มักหมายถึงกระดาษสี่เหลี่ยมที่มีลวดลายแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยชิโยกามิที่ทำจากกระดาษวาชิโดยเฉพาะ เรียกว่า ชิโยกามิ โดยทั่วไปมักเรียกว่า โอริงามิ แต่ในปัจจุบันกระดาษสี่เหลี่ยมที่มีลวดลายทำจากกระดาษตะวันตก (Paper) เรียกว่า "โอริงามิ" ส่วนกระดาษที่ทำจากกระดาษญี่ปุ่น (วาชิ) เรียกว่า "ชิโยกามิ" วาชิ (กระดาษญี่ปุ่น) คือกระดาษแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีต้นกำเนิดตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 3 – 4 โดยได้รับอิทธิพลจากจีน และเทคนิคการทำกระดาษมาจากโคกูรยอในช่วงที่ญี่ปุ่นเริ่มรับเอาวัฒนธรรมหลายๆ อย่าง และพระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศ กระดาษวาชิผลิตจากเส้นใยธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น โคโซ (ปอกระสา), มิสึมาตะ, กัมปิ และพืชอื่นๆ (ขึ้นอยู่กับพื้นที่ผลิต) แต่มีจุดร่วมคือกระดาษที่มีเส้นใยยาว แข็งแรง แม้จะบางแต่ทนทาน และมีเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่อเข้าสู่ยุคเมจิ กระดาษตะวันตกเริ่มแพร่หลายในญี่ปุ่น จึงมีการเรียกโอริงามิกระดาษแบบดั้งเดิมนี้ว่า "วาชิ" เพื่อแสดงความแตกต่างจากกระดาษจากตะวันตก โดยวาชิมีราคาสูงกว่ากระดาษตะวันตกเนื่องจากวัตถุดิบมีจำกัดและผลิตด้วยเทคนิคดั้งเดิมที่เรียกว่า นางาชิ-ซุกิ (Nagashi-suki) ซึ่งช่วยให้กระดาษบางแต่ไม่ขาดง่าย และเหมาะกับการใช้พู่กันและหมึกแบบตะวันออก ต่างจากกระดาษตะวันตกที่ออกแบบมาให้ใช้กับปากกา และหมึกชนิดน้ำบนพื้นผิวที่เรียบกว่า กระดาษวาชิมีหลากหลายชนิดมากซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นที่ผลิต วัตถุดิบ และจุดประสงค์ในการใช้งาน เช่น กระดาษป่าน(กระดาษมาชิหรืออาซากามิ) , กระดาษโคโซ, กระดาษโฮโซกามิ, กระดาษดันชิ, กระดาษซูกิฮาระ (เรียกอีกอย่างว่ากระดาษซุยบารางามิ), กระดาษมิโนะวาชิ, กระดาษกันปิชิ, กระดาษโทริโนโกะ ฯลฯ
โอริคาตะ ธรรมเนียมมารยาทการพับกระดาษ และ โอริงาตะ การพับกระดาษเพื่อความบันเทิง เดิมทีคำว่า "โอริคามิ (折形)" หมายถึง มารยาทการพับกระดาษ และถูกสับสนกับ โอริงามิ (折り紙) ที่เป็นการพับกระดาษเพื่อความบันเทิงที่ออกเสียง โอริคามิ เหมือนกัน จนมารยาทการพับกระดาษแบบดั่งเดิมเริ่มสูญเสียรูปแบบดั้งเดิมไป เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างมารยาทการพับกระดาษ กับการพับกระดาษเพื่อความบันเทิง การออกเสียงนี้ได้รับการแนะนำโดยนักวิชาการด้านมารยาท Akihiro Yamane และได้ถูกนำไปใช้ในสังคมโดยเรียกว่า "origata" แทนที่จะเป็น "orikata" เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับ "ธรรมเนียมการพับโอริคามิ" และ “การพับโอริงามิเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ” โอริคามิ (折形) ธรรมเนียมมารยาทของซามูไรที่ได้รับความนิยมจนแพร่หลายกลายเป็น โอริงามิ (折り紙) แนวคิดของการพับกระดาษแบบโอริคามิเริ่มเมื่อในช่วงยุคเฮอันราชสำนักได้กำหนดมารยาทในการห่อของมีค่าที่ใช้ในพิธีด้วยสิ่งต่างๆ ขุนนางส่วนใหญ่จะห่อของขวัญด้วยผ้าไหม (ฟุกุ) และมัดด้วยเชือกไหม แต่ซามูไรซึ่งภูมิใจในอำนาจทางทหารของตนได้คิดค้นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ในการห่อของขวัญด้วยกระดาษวาชิสีขาวที่แข็งแรง และมัดด้วยกระดาษญี่ปุ่นแบบบิด (หรือมิซุฮิกิ) ขุนนางมีวัฒนธรรมการใช้ผ้าไหมที่ใช้ประโยชน์จากสีสันต่างๆ ของธรรมชาติ ในขณะที่วัฒนธรรมกระดาษของซามูไรใช้กระดาษที่ทำจากเส้นใยหม่อนดิบธรรมชาติที่หนา มารยาทธรรมเนียมการห่อของขวัญแบบ โอริคามิ เหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดกันอย่างลับๆ โดยใช้ต้นแบบควบคู่ไปกับประเพณีของครอบครัว (ประเพณีบอกเล่าปากต่อปาก) ที่จำกัดเฉพาะไดเมียว และฮาตาโมโตะเท่านั้น ในรัชสมัยของโชกุนคนที่ 8 (อาชิคางะ โยชิมาสะ) ซาดาจิกะ อิเสะได้กำหนดกฎมารยาทต่างๆ มากมายสำหรับใช้ในพระราชวังหลวง และมีการบัญญัติโอริกาตะ (มารยาทการพับโอริคามิ) ขึ้น ในช่วงกลางยุคเอโดะเมื่อยุคสมัยสงบสุขมากขึ้น และวัฒนธรรมการค้าขายเจริญรุ่งเรือง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เอโดะ และโอซากะ ครอบครัวซามูไรก็ตกงาน และในเวลาเดียวกัน ศิลปะการพับกระดาษโอริกาตะ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นความลับ ก็เริ่มได้รับการสอนในโรงเรียน ในวัด และสถาบันอื่นๆ และได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนทั่วไป มีสำนักสอนมารยาทหลายแห่งที่พัฒนาขึ้นจนทำให้เกิดความสับสนกับมารยาทการพับโอริคามิแบบดั่งเดิม และโอริงามิ อีกทั้งเนื่องจากเกษตรกรทั่วประเทศเริ่มทำกระดาษวาชิเป็นงานเสริม กระดาษวาชิจึงได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น และด้วยความสนุกสนานในการพับกระดาษเป็นรูปทรงต่างๆ โดยเฉพาะกระดาษห่อแป้งโอริกามิ ทำให้ "โอริกามิเพื่อความบันเทิง" หรือการพับรูปทรงต่างๆ แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ซาดาจิกะ อิเสะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาได้เขียนเกี่ยวกับวิธีการพับกระดาษที่แตกต่างกันและเทคนิคการพับสำหรับตำแหน่ง และโอกาสต่างๆ ตลอดจนความหมาย และวัตถุประสงค์ ซึ่งได้รับการสืบทอดมาจากในสมัยโชกุน เขายังเผยแพร่ความลับ มารยาทการพับ โอริคาตะ ที่ถูกต้องให้กับประชาชนทั่วไปเพื่อให้เป็นเอกสารที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป เมื่อกระดาษวาชิประเภทต่างๆ แพร่หลายมากขึ้น กระดาษโอริกามิ และกระดาษวาชิก็ได้รับความนิยมในหมู่สตรี และเด็กในเมือง และมีการแยกความแตกต่างระหว่างกระดาษพับที่ใช้ในพิธีตามธรรมเนียม (กระดาษวาชิ) กับกระดาษโอริงามิที่ใช้เป็นของเล่นหรือพับเล่น (กระดาษจากตะวันตก) หลังจากนั้น คนธรรมดาทั่วไปก็ยังมักจะพับ และห่อเกลือ งา หรือแป้งถั่วเหลืองในกระดาษ แล้วใส่ในข้าวแดง หรือเค้กข้าวที่แจกในงานแต่งงาน งานศพ และงานพิธีอื่นๆ หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงคราม โอริคามิ ก็หายไปจากหนังสือเรียน เหลือเพียง โอริงามิ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม หลังสงครามจบลง Akihiro Yamane ได้ฟื้นคืนศิลปะธรรมเนียมนี้ และจัดระบบมารยาทการพับกระดาษที่ถูกต้องขึ้น และก่อตั้ง “ชั้นเรียนมารยาทการพับกระดาษยามาเนะ” ขึ้นเพื่อเผยแพร่มารยาทการพับกระดาษ โอริคามิ ที่ถูกต้อง จนกระทั่งถึงช่วงต้นของยุคโชวะ การเรียนการพับกระดาษ โอริคามิ ถูกจัดขึ้นในโรงเรียนหญิงล้วน และแต่ละครัวเรือนก็จะพับกระดาษโอริคามิของตนเองเมื่อถึงโอกาศจำเป็นและพิเศษ โอริงามิ (折り紙) ที่มาของการพับโอริงามิเพื่อความสนุกนั้นยังไม่ชัดเจน แต่หลักฐานเก่าแก่ที่สุดคือ ด้ามดาบญี่ปุ่นที่ตกแต่งด้วยรูปภาพนกกระเรียนกระดาษที่ทำโดยช่างตีดาบโกโต ตั้งแต่ยุคเซ็งโงคุในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 และในสมัยเอโดะ โดยเป็นภาพนกกระเรียนกระดาษปรากฏอยู่ในบันทึก รันมะ ซูชิกิ ซึ่งยืนยันว่าโอริงามิมีอยู่แล้วในช่วงเวลานั้น อาจถือได้ว่าโอริงามิได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนทั่วไปในช่วงยุคเอโดะ เมื่อการผลิตกระดาษวาชิ จำนวนมากทำให้คนทั่วไปสามารถใช้ได้ในเวลานั้น การพับกระดาษเพื่อความบันเทิงจะเรียกว่า "โอริคาตะ" หรือ "โอริสุเอะ" ซึ่งแตกต่างจากคำว่า "โอริงคาตะ" ในปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงการพับกระดาษเพื่อใช้ในพิธีกรรมเท่านั้น ในบทความหน้าเราจะพาไปพับโอริงามิ ด้วยเทคนิคการจำรูปแบบการพับสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละแบบแฝงไปด้วยความหมาย
อ้างอิง https://web.archive.org/web/20220413193503/http://www.yamane-origata.com/?page_id=40 https://www.takeo.co.jp/finder/paperhistory/ https://web.archive.org/web/20240229112449/https://www.morisa.jp/tosawashi/washi https://web.archive.org/web/20210507221847/https://guides.lib.kyushu-u.ac.jp/origami/today |